[Review] Saint Row การกลับมาของเกมแก๊งสุดมันส์ในเมืองสุดเถื่อน!

 


หลังจากที่ตัวเกมในภาคก่อนๆได้พาคนเล่นไปสู่ประสบการณ์ความมัน บ้า ฮา เถื่อน จนทำให้ชื่อของเกมนี้กลายมาเป็นเกมในดวงใจของหลายๆคนมาแล้ว ทางทีมผู้พัฒนาก็ได้ต้องการจะรีเมคตัวเกมใหม่เพื่อให้กลับคืนสู่เหย้าของเกมดั้งเดิมในชื่อของเกม Saint Row คำถามก็คือการรีเมคในครั้งนี้ถือว่าทำได้สมศักดิ์ศรีและตามความต้องการของแฟนๆหรือไม่ เรามาดูผลตอบรับนั้นจากการรีวิวนี้ดีกว่า


สำหรับตัวเกมในภาคนี้จะเล่าเรื่องราวของเมืองแห่งหนึ่งที่มี 3 ขั้วอำนาจในเมือง มีเหล่าแก๊ง 2 แก๊งและอีก 1 ฝั่งที่เป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่เป็นองค์กรเอกชน ตัวเอกกับเพื่อนๆจะแยกย้ายกันทำงานอยู่ในแต่ละฝ่าย แม้ว่าทั้ง 3 ฝ่ายจะไม่ถูกกันแต่เพื่อนของตัวเอกก็สนิทกันดี แต่เมื่อความขัดแย้งของทั้ง 3 ฝ่ายเริ่มปะทุรุนแรงขึ้น ในที่สุดตัวเอกและเพื่อนตัวเองจึงได้ตัดสินใจที่จะตั้งแก๊งเป็นของตัวเองเพื่อชิงอำนาจของเมืองนี้แต่เพียงผู้เดียวซะ

ในเกมนี้นำเสนอระบบการเล่นแบบ open world ที่คนเล่นจะสามารถเดินทางท่องไปยังแผนที่ต่างๆของเมืองได้อย่างอิสระ โดยเมืองนี้จะมีการแบ่งเขตออกมาเป็น 2 เขตใหญ่ๆก็คือเป็นเขตเมืองและเขตทะเลทราย แต่กระนั้นว่ากันตามตรงแล้วขณะของพื้นที่เมืองนี้ก็ไม่ได้ดูใหญ่โตอะไรนัก เทียบกับภาคที่แล้วยังมีความใหญ่โตมากกว่า

ระบบเกมนี้จะมีทั้งเควสหลักและเควสรองอย่างการล่าค่าหัวให้คนเล่นได้เลือกเล่นในระหว่างทาง แต่เกมภาคนี้จะบังคับให้คนเล่นจะต้องเล่นเควสไปทีละเควส ไม่สามารถรับได้ทีเดียวพร้อมกันแล้วก็ไปทำด้วยกันได้ ข้อดีก็คือทำให้คนเล่นสามารถโฟกัสกับเควสแต่ละเควสได้อย่างเต็มที่โดยไม่วอกแวก แต่ข้อเสียก็คือก็แอบเสียเวลาเหมือนกัน

ในส่วนของโลกของเกมจะเป็นโลกของเกมนี้โดยเฉพาะที่มีการผสมผสานของโลกสมัยใหม่และอารมณ์บ้านเมืองที่ดูเหมือนเป็นยุค 90 เรียกได้ว่าไม่มีความสมจริงอะไรกับช่วงยุคสมัยแต่ละช่วงเลย แถมเป็นเกมที่ไม่ได้เน้นความจริงจังเรื่องของกฎหมายหรือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เหล่าตำรวจเหมือนจะเป็นแค่ตัวประกอบออกมาไล่ล่าคนเล่นแค่แว๊บเดียวแล้วก็หายไป ดังนั้นคนเล่นจริงสามารถทำอะไรบ้าๆในเมืองนี้ก็อยากเต็มที่

ถึงแม้ว่าเกมเพลย์จะทำออกมาสนุกและยังคงคอนเชปความง่าย มัน เถื่อน ตามตัวเกมดั้งเดิม แต่ปัญหาก็คือเกมยังไม่สามารถที่จะถ่ายทอดความผูกพันของเกมนี้กับคนเล่นได้ดีพอเมื่อเทียบกับภาคที่แล้ว กลุ่มตัวเอกก็ให้อารมณ์เหมือนเป็นเด็กซิ่วมหาวิทยาลัยที่พยายามหางานทำแบบอยู่ไปวันๆเสียมากกว่ากลุ่มคนที่มีความทะเยอทะยานที่อยากจะยึดครองเมือง หรือต้องการจะช่วยพวกพ้อง คือจริงๆแล้วก็มีฉากเสี่ยงตายและฉากที่สะเทือนอารมณ์บ้าง แต่มักจะออกแนวตลกร้ายมากกว่าซึ่งบางทีมันก็ขำไม่ออกเพราะมันไม่รู้สึกตลกอะไรเลย บางมุขก็ขำ แต่บางมุขก็ไม่ขำ เหมือนตัวเกมยังดูกั๊กๆไม่ค่อยกล้าเล่นแรงหรือออกแนวเซฟๆเสียมากกว่า ซึ่งต่างจากภาค 3 หรือภาค 4 ที่ทำออกมาบ้าอย่างเต็มที่

อีกปัญหาที่ได้พูดไม่ได้เลยก็คือบัคของเกมนี้ ที่เจอทั้งบัคเกมเพลย์และที่แย่ที่สุดก็คือ bug graphic ที่เจอปัญหาเฟรมเรทตกเป็นระยะทั้งๆที่คอมของผู้เขียนสามารถเล่นเกมนี้ได้ในระดับ 4k สบายๆ สคริปต์ของเกมก็ออกมาแบบโจ่งแจ้งเกินไปจนดูไม่เป็นธรรมชาติ เสร็จแล้วตัวมีความรู้สึกว่านี่น่ะหรือ คุณภาพของเกมที่ได้เมื่อเทียบกับราคาเกมที่ซื้อมา อาจจะต้องรอให้ทางทีมงานอัพเดทแก้ไขบัคส่งมา ตัวเกมถึงจะทำออกมาดูน่าเล่นมากขึ้น

ถ้าจะให้สรุปโดยรวมแล้ว นี่ก็เป็นเกม Saint Row ที่แฟนๆหลายคนชื่นชอบ แต่เป็นเกม Saint Row ที่ไม่มีความบ้าอย่างที่มี ความสนุกของเกมได้ลดลงไป ถ้าจะให้มองเกมในฐานะของเกม open world แนวป่วนแก๊งไล่ยิงชาวบ้านหรือถล่มศัตรูด้วยปืนในเมืองเถื่อน เอาแบบสนุกไว้ก่อนอย่างอื่นว่ากันทีหลัง ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่อยากจะแนะนำให้ซื้อมา แต่ถ้าให้ว่ากันตรงๆแล้ว หากไม่ได้รีบอะไรอยากขอแนะนำให้ซื้อตอนลดราคาจะดีกว่า เพราะถึงเกมจะเล่นสนุก แต่คุณภาพที่ได้มาเมื่อเทียบกับราคาเต็มที่ต้องจ่ายไปนั้น ยังไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ แต่หาทีมงานได้ออกแก้ไขปัญหาบัคต่างๆออกมาแล้วจนทำให้เกมน่าเล่นมากขึ้น ก็ค่อยพิจารณากันอีกทีในตอนนั้นก็ได้

ขอขอบคุณทาง Ripples ที่ส่งเกมนี้มาให้ทางเรารีวิวนะครับ

สำหรับเกม Saint Row วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน Xbox Series X/S , PlayStation 4, PlayStation 5 และ PC บน Epic Games Store


ไม่มีความคิดเห็น